27 ตุลาคม 2551

วาง..ไม่มีเหลือ


ถอดจากเทป “วาง...ไม่มีเหลือ” ม้วนที่ ๕๘ หลวงพ่อโกหกจริง ๆ
ตามครรลองของการปฏิบัติของตนเอง การไปสู่มรรคผลต้องมีการปฏิบัตินะลูกนะจำให้ดี รักษาจิตของเราไว้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เมื่อเรารู้ทางเดินแล้วเราก็เดินของเราไปซิ เรายังอยู่ในทางโลกเราต้องยึดมั่นในทางโลกเข้าไว้ อย่าพึ่งไปสู่ทางธรรมทีเดียวอย่างเต็มตัว ถ้าเต็มตัวเราต้องละวางให้ได้เมื่อละวางไม่ได้อย่าไปเดินเต็มตัว ไม่ได้หรอก สู้มารไม่ได้หรอก เดี๋ยวเถอะมารเล่นงาน กระโดดหย่องเลย ไม่ได้หรอกลูกเราต้องตั้งจิต และเดินไปและเอาทางโลก ทางธรรม ประคองกันเรื่อยไป จิตเราก็ทำ ข้างนอกเราก็ทำ ข้างนอกคนเห็น ข้างในเทวดาเห็น ผีสางเทวดาเห็น เอาอย่างนี้ดีกว่า ทำไปทั้งสองทาง พอถึงเวลาหยุดจริง ๆ แล้ว ทางโลกหมดไป เหลือทางธรรมทางเดียว นั่นแหละลูกถึงจะไปถึงมรรคผล โมทนาจะได้เกิดขึ้นเต็มที่อยู่ตรงนั้น อย่าคิดว่าเราจะเดินฉันเจอครูบาอาจารย์แล้วฉันจะเดินได้ นี่ติดครูบาอาจารย์เอาอีกแล้วนะ อย่านะโดนหลวงพ่อไล่ตะเพิดไม่รู้เรื่องนะ หลวงพ่อให้ไปทำเอง ปฏิบัติเองอะไรต่าง ๆ ที่สงสัย มันเป็นยังไง มาถามหลวงพ่อนิดเดียว หลวงพ่อก็เขี่ยให้ ผงเข้าตาเขี่ยนิดเดียวมันก็สว่างเท่านั้นเอง การเดินไปข้างหน้าเหมือนกับผงเข้าตา พอเข้าไปพับโอ้ มันพาจิตเราไปด้วยนะผงเข้าตาน่ะ โอ้เป็นไรเนี่ย ขยี้ก็แล้ว ทำยังไงก็ไม่หาย จะทำยังไงให้มันหาย ถ้าจริง ๆ แล้วนะไอ้ผงเข้าตาเนี่ย มันก็เหมือนกัน เอาจิตของเรารักษาก็เท่านั้นเอง มันจะเป็นยังไงก็ให้เป็นไป ภาวนาของเราเรื่อยไป ทำจิตของเรา หลับตาภาวนาเรื่อยไป จนกระทั่งหลับไป ดูซิ ลืมตาขึ้นมาโล่ง เพราะอะไรมันก็ออกไปตามน้ำตา มันก็ไม่มีผงแล้ว เท่านั้นเอง นั้นแหละสภาวะนั้นแหละเหมือนกันเลย การปฏิบัติธรรมเนี่ยเหมือนกับผงเข้าตา แต่มันเป็นอะไร อะไรเนี่ย ไม่แก้ซักทีรู้นะว่ามันอยู่ตรงนั้น เป็นเม็ดเป็นทรายอะไรมันมีมันเคืองอยู่นั่นแหละ เลยทำอย่างอื่นไม่ได้ เปรียบอย่างอื่นไม่ได้ต้องเปรียบผงเข้าตา มันถึงจะเข้าในลักษณะเดียวกัน เพราะในการที่เรากระทำ เพราะเรากำลังเดินทางนี่ ตาเราลืมไม่ได้แล้วมันเดินได้ไหม เหมือนเราปิดจิตของเราเอง อะไรก็รู้จำให้ดีก็แล้วกัน มาพบชาตินี้แล้ว ทางสว่างมันเกิดขึ้นแล้ว อยู่ที่การรักษาเท่านั้นเอง เพราะรู้รักษา อะไรที่เกิดขึ้นมาพับเนี่ยให้รับรู้ รู้ว่าในตัวเรามีไหม ถ้าไม่มีอ้าวอันนี้เป็นบารมีที่ฉันต้องเดินต่อไปที่ฉันยังขาดอยู่ ยังไม่มีรับเข้ามาได้ ถ้ามีแล้วละวางทิ้งไป พอเข้ามาอีกของเดิมที่รู้แล้วเข้ามาอีก รู้แล้วรับเข้ามาทำไม ก็วางทิ้งไปเท่านั้นเอง เสร็จแล้วพอใกล้เวลาจริง ๆ แล้วเราจะวางหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือเลย เห็นไหม การไปสู่มรรคผลนะ ไม่มีอะไรเหลือน่ะ จำให้ดีนะ ไม่มีน่ะ มีไหมละ หรือเราว่ามี ขันธ์ห้าดับไปแล้วมันจะมีอะไรเหลือไหม รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่ตัวของเราที่สะอาดบริสุทธิ์ไม่มีอะไรติดค้าง นอกจากบารมีที่นำทางเราไปเท่านั้น เป็นความบริสุทธิ์เลยไม่ต้องแล้ว นั่นแหละ นิพพานในโลกมนุษย์ละ เนี่ยนิพพานนะเนี่ย หลวงพ่อพูดชี้ตรงนี้ จะมากหรือน้อยอยู่ที่ตัวเรา ที่ให้รักษาไว้เนี่ย คือรักษาอะไร พอรู้แล้วรักษาอ๋อตรงนี้นิพพาน แต่เขาไม่บอกว่านิพพาน แต่จะให้เรารู้ว่านี้นิพพาน นิพพานชั่วขณะที่เกิดขึ้นในตัวของตนเอง จะมีความเย็นผิดแปลกไปกว่าเดิม เพราะรู้ความจริง สัจจะธรรมความจริงแล้ว นิพพานก็เกิด ไม่มีอะไรเข้ามาข้องอีกแล้วทุกอย่าง ให้รับรู้ความจริงเท่านั้นแหละ อะไรที่พาเราไปได้ เห็นไหม ความจริงอะไรละที่จะพาเราไปได้ ความว่างเปล่าไม่มีอะไรนั่นอย่างไรเล่า พระนั่นไงเล่า พระในตัวเราเองนั่นแหละ ตัวบารมีนั่นแหละ พระบารมีไง เห็นไหมที่จะพาเราไปได้ ไม่ใช่พระบุญ พระบุญพาเราไปหากิเลส พระบารมีพาเราไปหาผล เห็นไหม น่าแปลกน่าอัศจรรย์ไหมเล่า มันจะเป็นไปได้ยังไง เดี๋ยวจะมาบอกว่าหลวงพ่อไปเอาอะไรมา เอาที่ไหนมาสอน หลวงพ่อก็ไม่รู้ว่าเอาที่ไหนมาสอนเหมือนกัน เพราะที่เขามาสอนกันนี้ ไม่รู้ว่าจะจับต้นชนปลายตรงไหนแล้ว ถ้าหลวงพ่อเรียนไปตามนั้น หลวงพ่อไม่มีทางที่จะไปได้เลย ไม่มีทางที่จะถึงได้เลย เราต้องรวบหมดเลย เอ้าเอ็งกองอยู่ตรงนี้นะ ทั้งหมดเอ็งกองอยู่ตรงนี้นะ หนังสือเอ็งอยู่ตรงนี้นะ ไม่เอาแล้วจะเอาหนังสือ(ร่างกาย)ตัวนี้แล้วเป็นเครื่องเดินทาง เอาพระธรรม ก็เรามีพระธรรมเป็นศาสดา พระพุทธเจ้าไม่มีตัวตน ก็เหลือเพียงพระธรรมที่เป็นศาสดาอยู่ เราก็เอาศาสดาที่เป็นพระธรรม แล้วอยู่ที่ไหนศาสดาที่พาเราไปได้ ศาสดาอื่นพาเราไปได้ไหม ศาสดาข้างนอกพาเราไปได้ไหม ไปไม่ได้ พาไปหากิเลสได้ แต่พระธรรมในตัวของตนเอง(ร่างกาย)เท่านั้นที่จะพาเราไปได้ นี่ละคือสิ่งที่ต้องคิดพิจารณา ถ้าพิจารณามานาน ๆ ไม่ต้องพิจารณาแล้ว รักษาได้แล้ว ฉันไม่เอาแล้ว รู้แล้ว ฉันไม่พิจารณาแล้ว รู้แล้ว ตัวรู้นั่นเอง ตัวพุทธะนั่นเอง ที่เราเป็นพระ นะโม ไปสร้างพุทธะให้เกิดขึ้น นะโมจนพุทโธเกิด อีกหน่อยพุทโธหายไปด้วย พอถึงเวลาจริง ๆ แล้ว พุทโธไม่มีแล้ว ใครทำได้ถึงพุทโธหายได้ก็ใช้ได้ การกระทำอะไรต่าง ๆ อยู่ที่ตัวเองทั้งนั้น ทุกคนมีพุทโธอยู่ในตัวทั้งหมด มีธัมโม มีสังโฆ มีพุทโธ อยู่ในตัวเราทั้งนั้น เห็นไหม อยู่ในตัวเรา เราก็เอาตรงเนี่ยให้มันเกิดเป็นผลประโยชน์ ก็ของใครของมันต่างคนต่างมีมา จะมากน้อยใหญ่โตแค่ไหนก็อยู่ที่ตัวเราสร้างสมมา อยู่กับเราตั้งแต่เราเกิดมาแล้ว เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องไปหาอะไรที่ไหนแล้ว พระพุทธเจ้าหาผู้ที่เปรียบเสมือนไม่ได้ ที่เอาตรงนี้มาสอนเรา ไม่มีหรอก ในโลกทั้งโลกหาได้ไหม เปรียบพระพุทธเจ้าไม่ได้ คนอื่นเขาให้ปฏิบัติข้างนอกกันทั้งนั้น หาเข้ามา เอาความดีต่าง ๆ เข้ามา ให้คนยกย่องชมเชย เป็นเกียรติประวัติให้เป็นที่นิยมของโลก เห็นไหม นั่นหรือคือผู้ที่จะไปสู่มรรคผลได้ แต่ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่อย่างนั้น ทำให้สลายหายไปสิ้น เห็นไหม ไม่ให้มีเหลือเลย กลับตาลปัตร เห็นไหม แล้วจะว่าเหมือนกันได้ยังไง ไม่มีใครเหมือนหรอก ไม่มีอะไรที่จะติดตัวเราได้เลย แล้วเป็นบารมี บารมีก็นำทางเราอีก เข้าไปสู่ตรงนั้น แล้วเราว่าใครเป็นผู้ฉลาด พระพุทธเจ้าฉลาดหรือเราฉลาด ใครฉลาดละ พูดให้แน่ซิ ว่าใครฉลาด ไอ้เราน่ะพูดง่าย ๆ เถอะนะ ว่าฉลาดก็ฉลาดแกมโกง พูดจริง ๆ ก็ว่าใช้ไม่ได้เลย ชุบมือเปิบกันทั้งนั้น นี่แหละความฉลาด ความฉลาดของเราที่ค้นพบสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงประทานให้ หลวงพ่อบอกว่าเป็นได้ทั้งสองอย่าง ฉลาดแกมโกงหมายถึงว่าไปเอาที่พระพุทธเจ้าทำมาแล้ว นำมาเดินทางไปสู่มรรคผล แต่ว่าตรงนั้นที่พระพุทธเจ้าทรงทำไว้นั้นเป็นของดีหรือของไม่ดี เราว่าเป็นการโกงได้ไหม เราไม่ใช่การโกง แต่เราไปรับสิ่งที่ดีนั้นมาปฏิบัติเพื่อไปสู่มรรคผลตามพระพุทธเจ้า เพราะเราไม่ได้แข่งกับพระพุทธเจ้า แต่ว่าพระพุทธเจ้าได้ประทานทางนั้นไว้แล้ว เราจะเดินทางนั้นเพื่อไปสู่มรรคผล ฉลาดตรงที่นำมาปฏิบัติพิสูจน์จนได้พบทางสว่างที่พระพุทธเจ้าทรงเปิดทางไว้ให้ นั้นแหละ เราฉลาดแต่ไม่ได้ฉลาดอย่างพระพุทธเจ้า หลวงพ่อไม่ได้ไปว่ากล่าวพระพุทธเจ้านี่ หลวงพ่อทำไมถึงว่าฉลาดแกมโกงละ ก็ไปคว้าเอาที่พระพุทธเจ้าทรงค้นคว้าไว้ แต่ฉลาดที่พระพุทธเจ้าทรงวางหลักไว้ให้แล้ว แล้วเราฉลาดที่ไปค้นพบจนได้ นั่นแหละฉลาดตรงนั้น ฉลาดแกมโกงไปเอาของพระพุทธเจ้ามาเนี่ย สอนป้าว ๆ มาอวดอ้าง นั้นแหละ พระพุทธเจ้าไม่สอนอย่างนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้เราหนีโลก มีใครละ ในหนึ่งพันคนจะมีสักกี่คนที่หนีโลกตามพระพุทธเจ้า มีแต่จะหยุดโลก แต่จะทำเพื่อหนีโลกไม่มีหรอก เดี๋ยวไปพูดให้ใครฟังเขาก็ว่าไอ้นี้มันเก่งมาจากไหน จะหนีโลก มันหนีโลกจะหนีพ้นหรือ เดี๋ยวตายก็ฝั่งดิน แล้วลองคิดดูมันเป็นอะไรละ เราหนีโลกได้ไหม ก็เราคืนเขาไปหมดแล้ว เราไม่เอาอะไรแล้ว เราไม่ปรารถนาอะไรแล้ว ก็เราทิ้งโลก(ร่างกาย) คืนให้โลกเขาไปแล้ว เราก็หนีโลกไป ก็แค่นั้น คือสิ่งที่เรากระทำ เราหนีโลกคือเราไม่ต้องกลับมาในโลกอีก ก็ถึงจุดจบ ให้โลกลืม แต่เราอย่าลืมโลก(ร่างกาย) ก็แค่ตรงนี้ หลวงพ่อไปเอาอะไรมาสอนก็ไม่รู้ เรายังอาศัยโลก(ร่างกาย)อยู่เราจึงอย่าลืมโลก ใครคิดไหมเนี่ย เราอาศัยโลก(ร่างกาย)อยู่ เอาเถอะไปพูดที่ไหนก็ตามเขาไม่ได้คิดถึงไอ้โลก(ร่างกาย)นี้ หรอก ไอ้ขี้โรค ก็ไอ้โรคเวรโรคกรรมนั้นแหละ หลวงพ่อหัวเราะได้เต็มที่เลยนะ ไม่มีอะไรจะมาขัดเลย จะเอาอะไรล่ะลูกเอ๋ยภพชาติมันสั่งสมมาจนเอือมระอาแล้ว เราปรารถนาจะมาใช้ให้หมดนะ ดูซิลองคิดดูก็แล้วกัน เวลาที่หลวงพ่อใช้มานี้เป็นเวลาเท่าไหร่ กว่าที่จะได้มาพบ ตั้งจิตให้มั่นคงเข้าไว้ ถ้าเราไม่คิดจะตั้งจิตใช้กรรมเขาล่ะ ผลกรรมก็ต้องตามติดเราไปภพชาติไม่รู้จักจบสิ้น ทำกรรมดีมันละโลกได้ไหม จะลืมโลกได้ไหม กรรมดีสั่งสมจนนับชาติไม่ถ้วน จะนับชาติได้ไงเล่า พอสิ่งนั้นหลวงพ่อให้ดูมันเกิดขึ้นมา หลวงพ่ออื้อฮือนั่งสั่นหัวเลย ภพชาติที่เกิดมามันเป็นอย่างเดียวมาตลอดหรือ มันไม่ใช่นะ เกิดมาเป็นแทบทุกอย่าง อธิกเคยเล่าให้ฟังไหม น้องชายกับน้องสะใภ้ เห็นไหมน้องสะใภ้ชาติก่อนเกิดเป็นผู้ชายบวชเป็นพระ น้องชายในชาติปัจจุบันนี้ในชาติที่แล้วเป็นเจ้าเมือง ไม่ถูกกันกับพระ เจ้าเมืองไปเผากุฎิพระ ด้วยความอาฆาตแค้นทั้งที่ยังอยู่ในสมณเพศ ทำให้ชาตินี้ต้องมาเกิดเป็นผู้หญิง มาเป็นเมียของเจ้าเมืองก็คือน้องชายของอธิกในชาติปัจจุบัน วุ่นวายกันใหญ่ มาเผาผลาญกันด้วยความอาฆาต แต่งน้องสะใภ้คนนี้เข้ามาในบ้านได้เพียงสามวันพี่ชายคนที่สองก็ถูกแก๊สระเบิดทำให้เสียชีวิตไป บ้านหมด รถหมด งานทุกอย่างล้มเหลวหมดทำอะไรก็ทำไม่ขึ้น น้องสะใภ้คนนี้เขามาถวายดอกบัวกับหลวงพ่อ ดอกบัวทั้งถาดเขาเด็ดกลีบออกหมดเลยเหลือแต่เกสรข้างใน เคยเจอไหมล่ะ เขาจะเอากันให้ถึงที่สุด ไปทำเขาไว้ เห็นไหมหลวงพ่อให้ดูบวชเป็นพระแล้ว แต่จิตไม่เป็นพระ ทำไมจิตอาฆาตเกิดขึ้น เห็นไหม แล้วจะไปได้ไหมล่ะ ไปไม่ได้ต้องเกิดมาใหม่แล้วเปลี่ยนเพศเป็นหญิงมาทำลายล้างเขา เพราะจิตไม่อโหสิกรรมกัน จึงต่อภพต่อชาติกัน เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามเวลานี้รับรู้แล้วไม่ต้องให้ติดค้างแล้ว อะไรก็ตามอย่าไปสู้ข้างนอกเราสู้แต่ข้างในตนเองนี่ ชนะใจตนเองเข้าไว้ ต่อสู้เข้าไป ขอให้ความสำเร็จมันเกิดขึ้นตามที่เราชนะใจตนเอง ถ้าออกไปข้างนอกชนะไม่ได้ ก็ปิดประตูเข้าบ้านเลย ไม่ต้องเลย เผ่นเข้าบ้านไปเลย มานั่งแต่งตัวเองไปเถอะ รอพร้อมจริง ๆ ค่อยออกไปสู้ใหม่ ออกศึกไปสู้ใหม่ ถ้าไปเจอเต็ม ๆ หน้าจริง ๆ แล้วสู้ไหวไหม ต้องสู้ให้ไหว ต้องชนะใจตนเอง ถึงจะผ่านได้ ถ้าชนะไม่ได้ต้องวิ่งเข้าบ้านอีก เข้าบ้านไปแต่งตัวใหม่อีก ต้องถอยเข้าบ้านไปตั้งหลักก่อน ต้องชนะให้ได้ชนะใจตนเองได้ก็ชนะสิ่งทั้งมวล ความสำเร็จทั้งหมดก็อยู่ที่การชนะใจตนเองนี้แหละลูก เพราะฉะนั้นให้ยึดมั่นในตนเองซะ ชนะใจตนเองได้แสดงว่าเราเริ่มวางได้แล้ว นี้ล่ะคือการสร้างพระในตัวให้ใหญ่ คุ้มเราละทีนี้ วางได้มากเท่าไรพระก็ใหญ่เท่านั้น นี่ล่ะการสร้างพระในตัวละ เป็นเหตุของเรื่องการยอมเพื่อวาง สร้างพระภายนอกต้องโอ้โหปั้นต้องทำอะไรใช่ไหม แต่สร้างพระภายในไม่ใช่มันต่างกัน วางให้หมด อะไรที่จะเข้ามาสู่จิต โลภ โกรธ หลง กิเลส ตัณหา อุปาทาน ฉันวางหมด นี่คือการสร้างพระ ใครจะมาทำบุญร่วมกุศลด้วยเอากิเลสตัณหามาให้เราก็เอออย่างเดียว เราก็วางของเราเรื่อยไป ข้าพเจ้าต้องวางทิ้งแล้วจะเอาอะไรมาใส่ให้ฉัน ง่ายนิดเดียวเหมือนภาษาอังกฤษที่บอกว่าง่ายนิดเดียว แต่หลวงพ่อบอกว่าของพระพุทธเจ้าง่ายนิดเดียว เราไม่ต้องไปแต่งเสียงด้วยนะ ไม่มี เสียงเดียวเลย เสียงวางเสียงเดียวเลย ไม่ต้องแล้ว เสียงวาง มีกี่เสียงล่ะวางน่ะ เสียงวางดังโครมล่ะไม่ใช่แล้วนะ ไอ้นั่นวางอย่างมีอารมณ์อยู่ วางอย่างเงียบ ๆ โดยดุษฎี บารมีก็จะเกิดขึ้น ความสว่างก็จะค่อย ๆ เกิดขึ้นเป็นบารมีของตนเอง นั่นล่ะลูกการกระทำรู้จักการปฏิบัติของตนเอง สร้างพระในตัวเอง มีอยู่แค่นี้ ค่อย ๆสร้างไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งอะไรต่าง ๆ เข้ามาสู่จิตเราไม่ได้แล้ว นั้นแหละพระใหญ่ครอบตัวเราได้ ครอบจักรวาลได้ ไม่มีอะไรแล้ว สุดท้ายเราก็วางได้ทั้งหมด ไม่มีอะไรจะติดค้าง วางพระธรรมเป็นเบื้องสุดท้าย ไม่ใช่ปากไม่เอาแล้ว แต่จิตไม่ยอม ใช้ไม่ได้ หลวงพ่อบอกว่าปากไม่ยอม แต่จิตยอม ดีนะ ใช้ได้ เค้าเรียกว่าวิชาหลอกมาร ......
หลวงพ่อโกหกจริง ๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น