01 ธันวาคม 2551

กรรมในอดีต กรรมปัจจุบัน ส่งผล

กรรมในอดีต กรรมปัจจุบันส่งผล
อาตมาเกิดเมื่อ วันเสาร์ เดือน ๘ หลัง พ.ศ.๒๔๗๓ ที่กองบินน้อยที่ ๔ หมู่บ้านธรณี ตำบลเขาพระงาม จังหวัดลพบุรี บิดาเป็นทหารอากาศยศจ่าอากาศเอก ชื่อหรุ่น สีมา มารดาชื่อนางสังวาลย์ สีมา เป็นแม่ค้าขายข้าวแกง อาตมามีพี่ชายร่วมมารดา ๑ คน มีพี่ต่างบิดา ๔ คน ชาย ๑ หญิง ๓ ซึ่งมีครอบครัวหมด เมื่ออาตมาอายุได้ขวบเศษบิดามีภรรยาใหม่ บิดานำพี่ชายไปด้วย อาตมาแม่ต้องเลี้ยงแม่ต้องค้าขายเลี้ยงตัวเองด้วย เลี้ยงอาตมาด้วย เป็นภาระให้แม่อย่างมาก อาตมาถือว่าเป็นกรรมหนัก ที่เกิดมาแล้วพ่อแม่ต้องแยกทางกัน แม่ของอาตมาตรอมใจหันเข้าหาอบายมุข เล่นการพนัน จนอาตมาจำได้ว่าอาตมาโตในบ่อน พ่ออาตมายังรับราชการอยู่เมื่ออาตมาอายุได้ประมาณ ๒ ขวบ มีเหตุการณ์ที่อาตมาไม่เคยลืมจนบัดนี้ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้สำหรับทารกอายุ ๒ ขวบจะจำเหตุการณ์ได้ คือเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๕ เกิดกบฏ ทหารให้ภรรยาและบุตรของทหารในกองบินหลบภัยไปอยู่ในที่เดียวกัน ในโรงเก็บเครื่องบินเชิงเขาพระบาทน้อย แม่ของอาตมาอุ้มอาตมาแนบอกเพื่อหนีภัยป้องกันภัยให้กับลูกจนกระทั่งหมดเขตอันตราย จึงได้กลับบ้าน บ้านแม่อาตมาปลูกเป็นบ้านไม้ เป็นที่พักอาศัยด้วย ค้าขายด้วยทุนของตนเองใกล้กองร้อยทหาร ทหารส่วนมากรับประทานกันที่ร้านแม่เป็นประจำ อาตมาได้รับรู้ชีวิตคนทั้งดีและชั่ว ซึ่งทำให้อาตมาได้คิดตั้งแต่เด็ก อายุอาตมาได้ ๕ ขวบ อาตมาอ่านหนังสือได้เพราะแม่สอน แม่ของอาตมาอ่านหนังสือได้แต่เขียนไม่ได้ กลอนจักรวงศ์จำเก่งมาก สามารถท่องได้คล่อง อาตมาเข้าเรียนในโรงเรียนไม่ได้เพราะอายุไม่เข้าเกณฑ์ ๗ ขวบ พอเข้าโรงเรียนก็ไม่ต้องอยู่ชั้นเตรียม เข้าชั้น ป.๑ สอบกลางปีได้เลื่อนขึ้นชั้น ป.๒ กรรมเก่าอาตมาส่งผล พ่อลาออกจากราชการไปประกอบอาชีพส่วนตัว ไม่มีใครรับรองส่งค่าเล่าเรียน อาตมาไม่เป็นอันเรียนอยากตามพ่อไปด้วย แต่แม่ไม่ให้ไป อาตมาเสียใจ การเรียนเริ่มตก เพราะไม่มีหนังสือเรียน หนังสือเรียนหาซื้อยาก ต้องอาศัยยืมเพื่อน ส่วนมากไม่ค่อยได้ เครื่องแต่งตัวมีสับเปลี่ยนเท่านั้น รองเท้าไม่มีใส่ แม่ก็ไม่อยากให้เรียน จะให้มาช่วยขายข้าวแกง อาตมาขอเรียน แม้จะยากลำบากก็ขอเรียน มีผู้ใหญ่บางคนสนับสนุนแม่จึงให้เรียน โรงเรียนอยู่ห่างจากบ้าน ๒ กม. ก่อนไปโรงเรียน ต้องโม่แป้งให้เสร็จก่อน เสร็จแล้วจึงเดินบ้างวิ่งบ้างไปโรงเรียน วันไหนเข้าเรียนไม่ทันก็ถูกครูตี โรงเรียนเลิกกลับบ้านช้าก็โดนแม่ตี อาตมาก็มีแต่ร้องไห้ อาตมาฟันฝ่าอุปสรรคเรียนจบ ม.๓ ในสมัยนั้น อยากเรียนให้จบ ม.๖ เพื่อหางานทำง่าย ไม่มีโอกาสเพราะเหตุหลายประการ
ก่อนจะดำเนินเรื่องต่อไป อาตมาขอย้อนไปสู่สมัยเมื่ออายุ ๗ – ๘ ขวบ อาตมาขอเล่าเหตุ ที่จะทำให้ผลกรรมเกิดแก่อาตมา ในเวลาต่อมา นั่นคือเรื่องแรกอาตมาเห็นผู้ใหญ่ม้วนหนังสือพิมพ์จุดไฟเผามดแดงขึ้นบ้าน ได้กระทำตามผู้ใหญ่ ผลกรรมไม่ได้ส่งผลตอนเด็ก เรื่องที่สองได้ยินผู้ใหญ่เถียงกันว่า “งูออกลูกเป็นไข่” อีกคนว่า “งูออกลูกเป็นตัว” ซึ่งอยู่ใน ความทรงจำของอาตมา วันหนึ่งในฤดูฝน อาตมาออกหาจิ้งหรีด เห็นกะลาลูกหนึ่งครอบอยู่บนดินก็เอาไม้งัดกะลาขึ้นเห็นงูปลาตัวหนึ่ง ท้องใหญ่ขดอยู่ คำพูดเถียงกันของผู้ใหญ่เกิดขึ้นในความทรงจำ ความอยากรู้ อยากเห็นก็บังเกิดขึ้น เอาไม้อันหนึ่งกดที่คองูอีกอันหนึ่งรีดตามตัวงูปรากฏว่างูท้องแก่ใกล้คลอดแล้วเมื่อโดนรีดเบา ๆ ลูกก็ไหลออกมาทั้งหมด ๑๒ ตัว น่าแปลกแต่ละตัวออกมาเป็นงูพิษหลายชนิด มีทั้งงูเห่า งูแสงอาทิตย์ งูทับทาง งูสามเหลี่ยม ฯลฯ รวมทั้งงูปลาด้วย อาตมาไม่ได้ฆ่างูทำเพื่อรู้เท่านั้น ผลกรรมยังไม่ส่งผล ผู้ใดสร้างกรรมไว้มากในอดีต ถ้าไม่ระลึกถึงกรรมและยอมชดใช้หนี้กรรม ก็ต้องรับกรรมนั้น ถ้ากรรมนั้นหนักก็ต้องรับทุกข์มาก จนกว่าจะใช้กรรมหมด อดีตอาตมาคงสร้างกรรมไว้มาก และกุศลกรรมก็คงสร้างไว้มากเช่นเดียวกัน กรรมเก่ายังไม่ได้ใช้ สร้างกรรมใหม่ต่ออีกดำเนินเรื่องต่อ อาตมาออกจากโรงเรียนพอดีมีสงครามญี่ปุ่นบุกขึ้นประเทศไทย กรรมเก่าเริ่มส่งผลแล้วต้องโยกย้ายจากกองบินไปอาศัยหลบภัยในชนบทไม่มีโอกาสหาเงินทองได้เลย อาศัยชาวชนบททำงานซ้อมข้าวหาปลากินเท่านั้นแม้แต่ผ้าก็หายาก อาตมามีกางเกงขาสั้น ๒ ตัว ผลัดเปลี่ยนปะแล้วปะอีก พอสงครามยุติก็กลับบ้าน อาตมาร้องไห้บ้านถูกทางราชการรื้อหมด ไม่มีที่อยู่ แม่ปลอบใจแม่พาไปอยู่ไร่ที่แม่ซื้อไว้ ๖ ไร่ ก็ดีใจมีที่อยู่ที่ทำกินกรรมเก่าส่งผล อีกแล้วราชการ เวนคืนที่ ให้เงินไร่ละ ๒ บาท ๖ ไร่ ๑๒ บาท เอาไปทำอะไรได้ มีอย่างเดียวคือร้องไห้ แม่ต้องพาไปอาศัยพี่สาวในกองบิน เพราะพี่เขยเป็นทหารอาศัยใต้ถุนเป็นที่นอน อาตมาเห็นชาวบ้านต้มเหล้าเถื่อนขายกำไรดี ก็ขอเงินแม่ลงทุนทำบ้าง น่าจะรวย แต่เปล่าเลยมีแต่จะแย่ลง อาตมาไม่เคยดื่มเลยแม้จะทำเอง ให้แต่คนอื่นดื่ม ไม่ใช่ทางของอาตมาแน่ คงผิดศีลนะ เลยเลิกทำหันมาตัดฟืนขาย เผาถ่านขาย รับจ้างหาบน้ำ กลับได้เงินดีกว่า จนได้ทุนทำขนมให้แม่หาบขายมีรายได้ดีขึ้น เลี้ยงลูกพี่สาวด้วย มีทหารคนหนึ่งเป็นพลขับรถเห็นอาตมาเป็นคนขยัน สงสารอยากให้อาตมามีความรู้ในการขับรถ จึงเป็นอาจารย์สอนให้อาตมา ตอนนั้นอาตมาอายุ ๑๗ ปี อาตมาดีใจมีใจรักอยู่แล้ว จึงขับรถเป็นเร็ว แต่ขาดความชำนาญในเครื่องยนต์ พี่เขยรู้จักกับตำรวจไปทำใบขับขี่ให้อาตมา มีผู้มาว่าจ้างให้อาตมาไปขับรถขนข้าวเปลือกในนาอาตมาจึงให้แม่ขายขนมร่วมกับน้าสาว อาตมาไม่เคยคิดว่า “การเผามด” จะเป็นกรรมชั่วที่จะส่งผล แต่ก็ปรากฏซึ่งทำให้อาตมารับทุกข์เป็นอย่างมาก เมื่อบรรทุกข้าวเปลือกใส่รถแล้ว เปิดสวิตช์เหยียบสตาร์ทเครื่องก็ไม่ติด รถที่อาตมาขับนั้นเป็นรถเก่า เป็นรถสงครามจี๊ปสหะฟอร์ดหน้าสั้น ๘ สูบ เครื่องยนต์อยู่ข้างคนขับ เมื่อเครื่องไม่ติด อาตมาจึงเอาน้ำมันใส่กระป๋อง ๔ เหลี่ยมเกือบครึ่งลิตรมาล่อเปิดหม้อกรองอากาศเทน้ำมันใส่คาร์บูเรเตอร์ มือขวาถือกระป๋องน้ำมันไว้เหนือพวงมาลัยรถ เหยียบสตาร์ทเครื่องยนต์จามลูกไฟพุ่งออกมาจากคาร์บูเรเตอร์วิ่งเป็นลูกสู่กระป๋องที่อาตมาถืออยู่ไฟลุกในกระป๋อง อาตมาจะนำออกทิ้งนอกรถ แต่เจ้ากรรมความรีบร้อนบวกความตกใจไม่มีสติ ข้อศอกกระทบประตูน้ำมันในกระป๋องกระเด็นรดตั้งแต่หัวไปถึงขาไฟไหม้ลุก ชาวบ้านต้องมาช่วยอาตมาลงจากรถดับไฟให้อาตมา ความร้อนที่ถูกไฟไหม้ทำให้ทุกข์เกิดแก่อาตมาอย่างมาก ไม่เฉพาะอาตมาเท่านั้น ยังสร้างทุกข์ให้แก่แม่ ต้องมาคอยดูแลรักษา ไม่ได้หลับนอนเพราะห่วงลูก สมัยนั้นยาหายาก มีทหารคนหนึ่งมาเห็นเข้าบอกให้แม่ทำยาทาให้ โดยใช้น้ำมันมะพร้าวกับน้ำปูนใสคนให้เข้ากัน เมื่อร้อนให้ทา ขณะนั้นอาตมาหมดกำลังใจ ลุกขึ้นก็ไม่ได้ นอนแขนขากาง เมื่อร้อนขึ้นมาก็ร้องครวญคราง แม่ต้องละงานมาทายาให้ อาตมาสร้างเวรให้แก่แม่ อาตมาไม่ลืมเลย คงจะเป็นกรรมของอาตมาที่ยังต้องใช้อีกมาก และยังเป็นกุศลที่ยังต้องสร้างต่อไป จึงทำให้อาตมาหายจากไฟไหม้ได้เร็ว แต่หน้าตาร่างกายอาตมาดูแล้วเหมือนผี ด่างไปหมดทั้งหน้าและตัว แทบไม่อยากมีชีวิตอยู่เพราะอายชาวบ้าน อาตมายังใช้ยานั้นทาอยู่ สิ่งที่น่าเกลียดในตัวอาตมาค่อย ๆ จางลง ๆ จนหายเป็นปกติอย่างไม่น่าเชื่อ อาตมาช่วยแม่ทำขนมขายต่อไป ไม่คิดไปทำอย่างอื่นอีก อยู่ต่อไปประมาณ ๑ ปี อาตมาเป็นไข้มาลาเรีย กินยาควินินขมอย่างมาก ก็ไม่หาย คิดอย่างเดียวตายแน่ ปากก็ไม่รู้สึก กินพริกก็ไม่รู้สึกเผ็ด ตำน้ำพริกกินเองใส่พริกขี้หนูเป็นกำมือ ก็ไม่รู้สึกเผ็ด เอาพริกขี้หนูเป็นผักวันที่สองก็ยังไม่รู้สึกแต่ ไข้ค่อยสร่างลง พอวันที่สามรู้สึกเผ็ดบ้างแล้วไข้ก็ไม่มี วันต่อมากินไม่ได้เลยรู้สึกเผ็ดแล้ว ไข้ก็หาย อาตมาแปลกใจ ดีกินพริกเป็นยาแก้ไข้หายปกติแข็งแรงดี ทำขนมมาขายตามเดิมประมาณ ๓ เดือนไข้มาลาเรียกลับมาอีกอาตมา ก็รักษาด้วยพริกเช่นเดิม ครั้งนี้หายขาดไม่เป็นอีกเลยจนปัจจุบัน อายุ ๒๐ ปี อาตมาสมัครเป็นทหารอากาศกองประจำการ ๒ ปี ในระหว่างรับราชการ สงครามเกาหลีเกิด อาตมาสมัครไปรบเกาหลี แต่ราชการไม่ต้องการทหารอากาศ นอกจากผู้ที่ทำหน้าที่ทำงานในอากาศเท่านั้นเลยอด พอครบกำหนดปลดประจำการ อาตมาสมัครต่อรับราชการเป็นพลขับรถที่กองทัพอากาศดอนเมือง อาตมาคิดอย่างเดียวจะต้องทำงานหาเงินเลี้ยงแม่ เพื่อทดแทนคุณให้ได้ คิดได้แต่ทำไม่ค่อยได้ เพราะมีเหตุต้องให้เสียเงินบ้าง เจ็บตัวบ้าง ระยะนั้นไม่คิดถึงเรื่องกรรม มีกำลังกายใช้ให้เป็นประโยชน์ก็จะมั่งมีได้ มารคอยขัดขวางตลอด (เดี๋ยวนี้รู้แล้วกรรมไม่ใช้แต่จะให้รวย) อายุ ๒๕ ปี ตัดสินใจบวช ๔ เดือน เพื่อทดแทนคุณแม่ด้วยความเต็มใจ และปิติ อาตมาจะบวชโดยโกนหัวเข้าวัดศรัทธาในการตั้งใจบวช มีผู้ร่วมบุญกุศลเป็นงานใหญ่เลย อาตมาคิดว่าความมีจิตตั้งมั่นเป็นกุศลถึงขนาดนี้เชียวเหรอ? อาตมาจึงตั้งใจศึกษาธรรม ได้พบอาจารย์ใหญ่ครั้งแรกคือ เจ้าคุณสังกิจโจ อุปัชฌาย์ของอาตมานั่นเอง ท่านรู้ว่าวาระจิตของอาตมาว่ากลัวผี ท่านให้ไปจำพรรษาที่ศาลาปรก ให้ไปทำงานในสถานที่มีกระดูกศพอยู่ อาตมาเหงื่อแตกเพราะความกลัวต้องตัดสินใจระหว่างศพกับอาจารย์ควรกลัวใคร มากกว่า ท่านเห็นว่าอาตมาเป็นผู้มีอารมณ์ร้อน ท่านให้ทำงานละเอียดต้องใช้สมาธิ ขณะที่กระทำอยู่นั้นท่านอยู่ที่ไหนก็จะตามส่งเสียงให้อาตมาทำให้เร็ว เพราะต้องการจะใช้สิ่งนั้น อาตมาอารมณ์พลุ่งขึ้นรีบทำให้เสร็จ ๆ ไป สิ่งที่ทำนั้นก็ไม่ดีนำไปให้ท่าน ๆ ให้วางไว้ไม่ได้ทำอะไร อาตมาได้คิด เมื่อกำลังทำอะไรอยู่ให้มีสติครองจิตตั้งจิตให้มั่นทำสิ่งที่เราทำนั้นให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้แม้จะเสร็จช้าก็ไม่เป็นไร เมื่อคิดได้อาตมาละอายท่านแต่ก็ปิตินึกกราบขอบพระคุณท่านที่เตือนสติ ตั้งแต่นั้นมาท่านก็ไม่สอนอาตมาแบบนี้อีกเลย ใกล้จะออกพรรษาอาตมาไม่คิดจะลาสิกขา คิดลาออกจากราชการบวชเป็นพระตลอดไปได้ไปบอกโยมแม่ว่าจะไม่สึกถึง ๓ ครั้ง โยมแม่นิ่งเงียบ อาตมาต้องคิดมาก ห่วงโยมแม่ไม่มีใครเลี้ยงดู เพราะพี่ ๆ มีลูกที่รับผิดชอบคนละหลาย ๆ คนคงไม่มีใครเลี้ยงดูโยมแม่ให้มี ความสุขได้จึงลาสิกขามาทำหน้าที่ลูกกตัญญูและใช้กรรมเก่าและใหม่ในเพศฆราวาสเสียก่อนถึงเวลาแล้วค่อยกลับมาใหม่ (เรื่องใช้กรรมนั้นสักแต่ว่าพูดตามกันไป ไม่รู้วิธีใช้กรรมโดยถูกต้อง) อายุ ๒๗ ปีแม่ได้ให้อาตมาแต่งงานกับโยมอุปัฏฐาก เป็นคนจนเหมือนกัน เป็นคนดีมีเมตตา ใจบุญชอบช่วยเหลือผู้มีทุกข์ อาตมาตามใจแม่ โอ้ถึงเวลาแล้วที่ต้องเผชิญกรรม ที่สร้างในปัจจุบันอีกแล้วคือกรรมที่รีดลูกงู เป็นกรรมจริง ๆ เพราะอาตมามีบุตรคนแรกเป็นชายคลอดไม่ครบกำหนด มีชีวิตอยู่ได้ ๑ เดือน ๑๖ วันอาตมาได้ตั้งจิตว่าถ้าเป็นเจ้ากรรมนายเวรมาเกิดทวงหนี้จากอาตมาแล้วจงมาเกิดใหม่ อาตมาขอใช้หนี้ให้หมดไม่ว่ากรรมเก่ากรรมใหม่ ขอใช้ให้หมดในชาตินี้ อาตมาขอใช้หนี้แม้ชีวิตของอาตมาก็ยอม กรรมใหม่อาตมาคิดถึงสาวกของพระพุทธเจ้าคือ องคุลีมาร กรรมเก่าอาตมาคิดถึง พระโมคคัลลา พระสารีบุตร อาตมามีปิติสุขเหลือเกิน อาตมาลืมแม่ไปชั่วขณะหนึ่ง แม่อาศัยพี่สาวคนที่ ๒ อยู่และทำขนมขายเลี้ยงหลานด้วย
อาตมาตั้งใจรับราชการ เพื่ออนาคตของครอบครัวจะได้เป็นสุข อาตมาทุ่มเทแรงกายแรงใจในงาน ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แต่ขัดกับผู้ใหญ่จึงไม่เป็นไปตามตั้งใจ เงินเดือนก็น้อย ไม่สามารถสร้างอนาคตได้เลย โยมของอาตมาเป็นแม่ค้ามาก่อน ขอขายขนมเด็กเพื่อช่วยเหลือและแก้เหงา อาตมาไม่อยากให้ทำแต่ต้องจำยอม อีกประการหนึ่งบุตรก็กำลังจะเกิดมาใหม่ เงินเดือนก็น้อย เพียงเงินเดือนอย่างเดียวไม่พอใช้จ่ายแน่ อาตมาเลยช่วยเต็มตัว เพราะมีฐานเดิมอยู่แล้ว อาตมาทำอะไรมักมีมารขวาง รับราชการก็ดี หากินโดยสุจริตก็ดี อาตมาก็สู้เพื่ออนาคต ไม่ท้อถอย อาตมาและโยมมีความกตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดอย่างสูง มีเงินพอแทนคุณได้บ้างจะทำทันทีตามแต่โอกาสอำนวย เพราะเริ่มสร้างตัวใหม่ เมื่อบุตรคลอดมาเป็นชาย กรรมแท้ ๆ ๓ วันดี ๔ วันไข้ ต้องพาไปรักษาเป็นประจำ เราสองคนไม่ท้อต่อสู้กรรมต่อไป เอาอีกแล้วกรรมเก่าตามเล่นงานอีก เรื่องไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น น่าคิดคืออาตมาเกิดปวดท้องไปตรวจโรคที่ ร.พ.หมอรับรักษาให้นอนที่ ร.พ.เพื่อตรวจอาการ อาตมานอน ร.พ.๓ วัน ไม่เคยมีหมอหรือพยาบาลมาถามอาการเลย พอวันที่ ๔ หมอมาตรวจที่เตียง หยิบแผ่นชาร์ทที่เตียงมาดู แล้วถามอาตมาว่า “ลื้อมานอนที่ ร.พ.ทำไม ลื้อไม่ได้เป็นอะไร” อาตมาตอบหมอว่า ผมปวดท้อง หมอสั่งให้ผมมานอนป่วยดูอาการ ผมปวดท้องผมต้องทนตลอดเวลา “ยาไม่ได้กิน” หมอพูดกับอาตมาโดยไม่มีการตรวจว่า “ก็ลื้อไม่เป็นอะไร ลื้อกลับไปทำงานได้” อาตมาพูดอย่างไร หมอก็ยืนกราน(หมอเจ้ากรรมนายเวร) อาตมาต้องออกจาก ร.พ.ทหารอากาศ (บอกเสียหน่อย) ไปขออนุญาตที่ทำงานเล่าให้เจ้านายฟัง ขอไปตายดาบหน้า ขอไปตรวจ ร.พ.อื่น เจ้านายอนุญาต แม้แต่โยมอาตมาก็ไม่บอก ให้รู้ทีหลัง อาตมาไป ร.พ.จุฬาฯ หมอได้ตรวจและให้เอกซเรย์แล้วให้อาตมารอผล ปรากฏว่ามีรถเตียงมาที่อาตมา จับอาตมาขึ้นเตียงเข้าห้องผ่าตัดด่วน อาตมาเป็นไส้ติ่งอักเสบ บุญกุศลเดิมส่งผลให้พบหมออุปถัมภ์ สิ่งที่เป็นกฎแห่งกรรมเริ่มชัดขึ้น ทำให้อาตมาตั้งต้นพิสูจน์ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงให้สัจจะธรรมว่า “ผู้ใดสร้างกรรมใด กรรมย่อมสนอง” เมื่ออาตมากลับบ้านสวดมนต์มากขึ้น ขอให้พระช่วยให้หมดกรรม และขอให้ความสุขเกิดขึ้นในครอบครัว แต่สิ่งที่อาตมาทำนั้นหยุดกรรมได้ระยะหนึ่งเท่านั้น ต่อมามีบุตรเพิ่มขึ้นเป็นหญิง ค่าใช้จ่ายในครอบครัวยิ่งมากขึ้น โยมทอดขนมและขายน้ำแข็ง อาตมาเป็นผู้ช่วยทำเพื่ออนาคตของลูก กรรมที่ใช้ไม่ถูกโดยขอให้พระช่วยนั้นย่อมไม่เกิดผล ดังกรรมของอาตมาที่จะเล่าให้ฟังต่อไป มือของอาตมาคันที่บนฝ่ามือทั้งสองข้างเป็นเม็ดเหมือนเม็ดบัวใต้ผิวหนังเต็มฝ่ามือได้ไปหาหมอให้ยามาทาก็ไม่หายซื้อยาต่างประเทศมากินด้วยใช้ยาทาด้วย หาเงินได้เป็นค่ารักษามือ อาตมาหันมาหายาไทย ทั้งกินและยาทาใครบอกดีก็เอา คันตรงไหนหยิกตรงนั้นเพื่อให้หายคัน ครั้งหนึ่งคันหยิกกระตุกให้หายคัน หนังลอกออกเป็นแผ่นน้ำเหลืองหยดพรวดต้องใช้สำลีซับผ้าพัน อาบน้ำใช้สบู่ก็ไม่ได้ ทำงานอะไรก็ไม่ได้ นึกท้อในกรรมของตนสร้างกรรมใดไว้มากมายไม่หมดหนี้ อาตมาให้ลูกน้องหายาให้ ลูกน้องบอกมีต้นไม้ชนิดหนึ่งชื่อต้นดีหมี ขึ้นอยู่ขอบสระที่อยุธยาใบร่วงไปในสระจะไม่มีสัตว์มีชีวิตเลย อาตมาให้ลูกน้องเก็บมาให้ต้มกินทรมานจนเสี่ยง ตายเป็นตาย กินก็ไม่หาย ตัดสินใจว่าถ้าไม่หายก็จะไม่ให้โยมต้องมีภาระเลี้ยงดู จะหนีไปให้ไกลสุด แม้จะสงสารโยมต้องเลี้ยงดูลูกคนเดียวก็ตาม สุดแต่บุญและกรรมเถิด อาตมาเศร้าใจมากไม่มีสิ่งใดดีกว่าเข้าหาพระ เข้ากราบพระพุทธรูปในห้อง ระลึกถึงแม่ผู้ให้กำเนิด ยังไม่ได้เลี้ยงดูตอบแทนพระคุณ ให้สมความตั้งใจเลย น้ำตาอาตมาไหล เท่านี้ยังไม่พอยังมาสร้างเวรให้โยมต้องมารับผิดชอบเลี้ยงดูลูกและตัวเองอีกหรือ ตัดสินใจยกมือพนมอธิษฐานจิตต่อเจ้ากรรมนายเวร ด้วยสัจจะว่า “กรรมใดที่ข้าพเจ้าได้สร้างไว้ในอดีตและปัจจุบัน ข้าพเจ้าขอชดใช้ให้หมดสิ้นในชาตินี้ แม้แต่ชีวิตของข้าพเจ้าก็ตาม จงอย่ามีเวรกรรมต่อกันอีกเลย ด้วยสัจจะของข้าพเจ้า ขอพระจงเป็นพยาน” กราบพระ จิตอาตมาหดหู่ไม่คิดว่ากรรมที่ตามมาจะทำให้ทุกข์อย่างสาหัสอย่างนี้ อาตมาหลับไปตื่นขึ้นรู้สึกจิตชุ่มชื่นขึ้น ไม่ได้คิดถึงทุกข์ที่เกิดขึ้นมากนัก จิตพร้อมที่จะใช้กรรมให้หมดสิ้นในชาตินี้ ไม่ว่าวันใดเวลาใด ก่อนนอนอธิษฐานจิตใช้หนี้กรรมด้วยจิตตั้งมั่น และอโหสิกรรม สวดมนต์ด้วยพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นที่ตั้ง และสวดบทอื่นเป็นการสร้างบารมี แผ่กุศลให้ทุกเวไนยสัตว์ เป็นประจำไม่ขาด น่าแปลกมือของอาตมาค่อย ๆ ดีขึ้นจนหายปกติเหมือนไม่เคยเป็นอะไรเลย อาตมายังไม่เคยเห็นใครเป็นโรคอย่างอาตมาเลย ยาเป็นสิ่งช่วยรักษาธาตุเท่านั้น ส่วนกรรมนั้นต้องใช้จิตตั้งมั่น มีสัจจะ มีความบริสุทธิ์ที่จะใช้หนี้ อาตมาจึงยึดมั่นในธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งตรัสสอนมนุษย์และเทวดาว่า “ผู้ใดสร้างกรรมชั่วต้องได้รับกรรมชั่ว ผู้ใดสร้างกรรมดีก็ได้รับกรรมดี” ทั้งกรรมดีและกรรมชั่วไม่มีใครช่วยตนได้นอกจากตนเอง
เมื่ออาตมายังรับราชการอยู่เป็นนายทหารประทวนผู้น้อย เป็นผู้ได้รับหน้าที่เป็นครูฝึกขับรถให้ผู้ที่เข้ารับราชการเป็นพลขับ อาตมามีความเต็มใจนำความรู้ ความชำนาญที่มีอยู่สอนเขาเหล่านั้นด้วยเมตตาจิต ใช้ทั้งพระเดชและพระคุณให้เขารู้และเข้าใจในหน้าที่ เพื่อไม่ให้นำความรู้ที่ได้รับเป็นวิชาฆ่าคนและสัตว์ ในการปฏิบัติของอาตมาต้องผ่านอุปสรรคมารขวางทางเจริญ แต่ว่ากุศลบารมีเป็นของมีแน่นอน มารต้องพ่ายแพ้ บารมีเดิมเสริมให้อาตมาได้เลื่อนยศเมื่อถึงกาลเวลา มารก็พยายามหาทางขวางให้การใช้กรรมและการสร้างบารมีของอาตมาไม่สำเร็จ อาตมาต้องใช้ขันติ อดทน อดกลั้น มารไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะอาตมาไม่ประมาท รักษาบารมีโดย พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นแสงสว่างนำทาง พร้อมทั้งใช้หนี้กรรมด้วยจิตอันบริสุทธิ์ แม้เจ้ากรรมนายเวรต้องการชีวิตอาตมาใช้หนี้ก็ไม่หลีกเลี่ยง เพื่อให้กรรมหมดในชาตินี้ ในอดีตอาตมาคงสร้างกรรมไว้มาก อาตมาจึงต้องใช้หนี้เป็นระยะ ส่วนบุญบารมีก็คงสร้างไว้มากเช่นกัน จึงให้อาตมาพบแสงสว่างแห่งธรรมมากขึ้น ต่อมาอาตมามีบุตรเพิ่มขึ้นอีก ๑ คน เป็นชาย การเป็นอยู่ในครอบครัวดีขึ้น การเลื่อนยศของทหารต้องฟันฝ่าอุปสรรค มีเรื่องขำและน่าคิดอยู่เรื่องหนึ่งคือ อาตมาเป็นครูสอนลูกศิษย์เข้าสอบเลื่อนยศพร้อมอาตมา อาตมาให้ความเมตตาสอนศิษย์ทุกคน การสอบผ่านหมดทุกคน ศิษย์ทุกคนมีตำแหน่งติดยศทุกคน ส่วนครูคืออาตมาไม่มีตำแหน่ง มารนะมาร ไม่ยอมละกันเลย แต่ต่อมาอาตมาจึงได้ตำแหน่ง ได้เลื่อนยศ อาตมาไม่ติดในยศ อาตมาคิดแต่ว่าต้องสร้างฐานะให้ครอบครัวให้ได้ อาตมาเพียรสร้างจิตให้เข้มแข็งเพื่อใช้หนี้กรรม สร้างกุศลบารมีแผ่ให้ทุกเวไนยสัตว์เสมอ ถึงเวลาที่กุศลบารมีส่ง อาตมาได้สอบเลื่อนวิทยะฐานะเป็นสัญญาบัตร มารพยายามขวางทางอาตมาแต่สู้บารมีอาตมาไม่ได้ อาตมาจึงได้เลื่อนยศเป็นสัญญาบัตรมารหาหยุดแค่นั้นไม่ พยายามทำลายอาตมาตลอดเวลา อาตมาสู้ด้วยขันติเท่านั้น อาตมาให้ท่านได้รู้เท่าที่จำเป็น ถ้าเล่าละเอียดจะเป็นนิยายไป อาตมามีบุตรต้องการให้การศึกษาให้สูง ไม่ต้องการให้เขาต่ำต้อยด้อยการศึกษาเหมือนอาตมา ต้องการเห็นเขารับปริญญาบัตร มีอนาคต กิเลสเป็นตัวชักนำให้การปฏิบัติใช้หนี้กรรมและสร้างบารมีหย่อนยาน มุ่งหาเงินไว้สำหรับลูกศึกษา อาตมาเชื่อว่าทุกคนก็ต้องการเช่นเดียวกัน ไม่ได้คิดถึงธรรมที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนไว้ว่า “บุคคลเกิดมาเพื่อใช้กรรม บุคคลทำกรรมสิ่งใดไว้ ย่อมได้รับกรรมนั้น” ส่วนมากพวกเราไม่คิด เพราะกิเลสเข้ามาบัง มีทิฐิ คิดว่าตัวเองเก่ง ไม่ใส่ใจในคำสอนให้ใช้กรรมให้เบาบางหรือหมดไปก่อนกุศลกรรมจึงจะสนอง สิ่งที่อาตมาตั้งใจไม่เป็นผล บุตรคนแรกก็ไม่สมหวังความตั้งใจ มาคนที่สองก็อีกเหมือนกัน อาตมาจิตตกตั้งตัวไม่ติด แต่กุศลของอาตมายังมีอยู่ ได้ยินเสียงผู้ไม่มีตัวตนเตือนสติว่า “กรรมใคร กรรมมัน” อาตมาจึงได้คิด แล้วพิจารณาในสัจจะธรรมนั้น เมื่อความจริงปรากฏ จิตก็อิ่มเอิบไม่หวั่นไหวอีกแล้ว คิดว่า “สุดแต่บุญและกรรมของเจ้าเถิดลูกเอ๋ย พ่อไม่สามารถกำหนดชะตาชีวิตของเจ้าทั้งหลายได้” เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ไม่มีลูกคนใดทำความสมหวังให้อาตมาได้เลย แม้คนที่สามอาตมาไม่คิดสิ่งใดอีก รับราชการด้วยช่วยโยมขายของด้วย เพื่ออนาคตเมื่อออกจากราชการจะได้มีบ้านอยู่สร้างกุศลต่อไป ครอบครัวอาตมาใส่บาตรหน้าเรือนพักเป็นประจำเมื่อพระมาโปรด เพื่อจรรโลงศาสนาและ สร้างบารมีแผ่กุศลให้ทุกเวไนยสัตว์ กุศลในอดีตส่งผลให้การปฏิบัติในปัจจุบันสัมฤทธิ์ผลได้ซื้อบ้านและที่ตามตั้งใจ เป็นบ้านเก่าต้องปรับปรุงใหม่ให้ดีขึ้นจนปัจจุบัน อาตมายังรับราชการอยู่ จึงอยู่ในบ้านพักข้าราชการ วันหนึ่งพี่สาวคนโตที่แม่ไปอยู่ด้วยมาบอกว่าแม่ตามองไม่เห็นให้ไปรับแม่มารักษา อาตมารีบไปทันที แม่มองไม่เห็นจริง ๆ รีบนำแม่ไปหาหมอที่ ร.พ. เป็นบุญกุศลของอาตมาที่ได้ทดแทนคุณแม่ หมอยินดีรักษาให้ด้วยความเต็มใจ อยู่ ร.พ. ๗ วัน ตามองเห็นปกติ อาตมาได้เลี้ยงดูตอบแทนคุณสมความตั้งใจ เมื่ออาตมาเป็นสัญญาบัตรได้ ๒ ปี ได้รับคำสั่งให้ไปราชการต่างจังหวัด ๗ วัน ขณะอยู่ต่างจังหวัดนั้นมีเพื่อนชวนไปวัด ได้พาอาตมาขึ้นบนกุฏิหลังหนึ่ง อาตมาถามว่ามาหาพระหรือ? เพื่อนตอบว่ามาดูทรงเจ้าอาตมาไม่เคยเห็นมาก่อนอยากรู้ อยากพิสูจน์ความจริงร่างทรงเป็นหญิง เมื่อทรงแล้วเป็นชายสูบบุหรี่ครั้งละ ๓ มวน ผู้ที่ไปถามถึงสิ่งที่เขาต้องการ อาตมานั่งดูไม่ถามอะไร พอดูเสร็จแล้ว ทรงยังไม่ออกได้เรียกอาตมาเข้าไปใกล้ๆ บอกให้อาตมาซื้อหวยใต้ดินจะซื้อเท่าไรก็ได้ให้ซื้อคนเดียว อาตมาก็บอกว่าถ้าจริงก็ต้องให้ผู้อื่นด้วยก็ยืนยันให้อาตมาคนเดียว อาตมาก็บอกถ้าบอกมาจะบอกทุกคน ทรงหัวเราะชอบใจ อย่างพอใจกระซิบที่หูอาตมาว่า “ถึงเวลาแล้วลูก” อาตมาเถียงว่าถึงเวลาอะไรไม่รู้เรื่อง ทรงบอกว่า “แล้วจะรู้เอง” เมื่ออาตมากลับที่พักก็คิดถึงเรื่องที่ทรงพูด อาตมาเชื่อว่าพรหม เทพ เทวดา มีจริงตามพระพุทธเจ้า แต่ที่มาลงทรงในมนุษย์มีหรือ? และที่ทรงพูดนั้นคืออะไร? อาตมาต้องการพิสูจน์ความจริง อาตมาไม่ดูถูกสิ่งที่มองไม่เห็นตัวตน เพราะบางข้อได้ประทานให้ได้ อาตมาจึงพิสูจน์โดยอธิษฐานจิตต่อหน้าพระพุทธรูปว่า “ลูกขอพิสูจน์ความจริงในสิ่งที่ไม่รู้นี้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ลูกขอเอากายและใจของลูกพิสูจน์ ขอความจริงจงปรากฏแก่ลูก” ซึ่งเป็นของแปลกแต่จริงเหมือนโกหก อาตมาเหมือนมีใครบังคับ ยืนเท่าไรก็ยืนไม่ได้ ไม่เป็นตัวของตัวเองจะทำอะไรที่เราเคยทำก็ทำไม่ได้ พูดในสิ่งที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นมาก่อน มีผู้ถามสิ่งที่เขาอยากรู้ก็บอกเขาได้บางทีก็ชี้หน้าว่าผู้มาหาบางคนซึ่งรู้จักกันให้เขาปฏิบัติอย่างโน้นอย่างนี้แล้วจะมีโชคลาภ บางครั้งอาตมาถูกต้องตัวผู้หญิงไม่ได้เลย เหมือนเป็นผู้หวงตัว ต้องแอบไปอยู่คนเดียว นั่งสมาธิอยู่เป็นเวลานานๆ เมื่อความจริงปรากฏให้รู้ว่า ผู้ไม่มีตัวตนคือเทพ เทวดา เป็นผู้มีอำนาจเหนือมนุษย์ ถ้าเป็นผู้ไม่รักษาสัจจะดูถูกผู้ไม่เห็นตัวตน กรรมที่สร้างไว้ในอดีตย่อมเกิดขึ้นได้เร็วถ้าเป็นกรรมหนักก็จะเป็นอันตราย อย่างยิ่งอาตมาขอเตือนอย่าดูถูกผู้ไม่มีตัวตน ถ้าได้รู้ได้เห็น ถ้าไม่เคารพอย่าไปดูถูกอันตรายไม่เกิด อาตมาต้องการพิสูจน์ความจริงเท่านั้น ได้ขอขมาต่อเทพ เทวดานั้นและกุศลใดที่อาตมาสร้างขอให้รับกุศลร่วมกัน ต่อมาทรงได้ให้อาตมารับขันธ์ ๕ มาบูชา ซึ่งอาตมาไม่ทราบว่าขันธ์ ๕ นั้นบูชาใคร ในเมื่ออาตมาบูชาพระพุทธเจ้าด้วยชีวิต อาตมาบอกปัดว่ายังไม่พร้อม ทรงบอกว่าถ้าไม่รับขันธ์ ๕ บูชา ความวิบัติจะเกิดขึ้นแก่ตัวมิฉะนั้นรวมทั้งครอบครัว เพราะผิดสัจจะ อาตมาจำเป็นต้องรับเพราะไม่ต้องการเห็นผู้อื่นเดือดร้อนเพราะอาตมา เมื่ออาตมาเป็นผู้สร้างก็ต้องรับด้วยตนเอง อาตมาอธิษฐานจิตต่อพระพุทธปฏิมากรว่า “ลูกเป็นลูกพระตถาคต ขอตั้งจิตมั่นในการปฏิบัติเพื่อใช้หนี้กรรมให้หมดและจรรโลงพระศาสนาสร้างบารมีให้สูงขึ้นตามที่ลูกตั้งจิตไว้ก่อนเกิดแล้ว ขอเทพเทวาที่ปรากฏให้ลูกรู้นี้ จงช่วยเปิดทางให้ลูกไปสู่ความสำเร็จตามประสงค์เถิด ลูกขอรักษาสัจจะนี้จนชั่วชีวิต ไม่เห็นแก่ลาภสักการะใดๆ ทั้งสิ้น” อาตมาไม่ท้อถอยต่อการปฏิบัติสวดมนต์ด้วย พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นหลักใหญ่ สวดบทอื่นเพื่อให้จิตบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นแผ่กุศลบารมีให้ทุกเวไนยสัตว์เป็นประจำ อาตมาใช้ความเพียรรักษาบารมีที่สร้างเพื่อมรรคผลเบื้องสุดท้ายสุดแต่กุศลบารมีจะสร้างถึงความสงสัยเกี่ยวกับเทพเทวามอบขันธ์ ๕ ให้มาบูชานั้น บูชาถึงใคร? ทำไมต้องบูชา? อาตมาพิจารณาขันธ์ ๕ ตลอดเวลา คิดว่าถ้าไม่รู้แจ้งก็จะละวาง เพราะเทพเทวานั้นไม่ได้บอกให้บูชาไว้เท่านั้น อาตมาต้องรู้แจ้งให้ได้ วันหนึ่งอาตมาสวดมนต์ตอนเช้าแล้วมองพิจารณาขันธ์ ๕ จิตของอาตมาถามถึงขันธ์ ๕ หมายถึงอะไร? ในขณะพิจารณานั้นจิตเกิดว่าง รูปของขันธ์ ๕ ของพระพุทธเจ้าก็เกิดขึ้นในจิต คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งอาตมาสวดมนต์อยู่ทุกวันนั่นเอง ทำให้อาตมาเกิดปิติ อาตมาได้รู้ในสิ่งที่ต้องการรู้ อาตมาขอบคุณเทพเทวาทุกพระองค์ที่เปิดทางให้และขอเทพเทวานั้นร่วมกุศลกับอาตมา เพื่อไปสู่ความสำเร็จร่วมกันอาตมาถือเป็นครูบาอาจารย์ อาตมาปฏิบัติธรรมด้วยการถือเอาบ้านเป็นวัด เพราะอาตมายังอยู่ในทางโลกต้องนำธรรมเข้ามาคู่กับทางโลก กาลเวลาแห่งการปฏิบัตินั้นย่อมไม่มีกาลเวลา แต่ผลแห่งการปฏิบัตินั้นมีกาล เมื่อถึงกาลแล้วผลจึงปรากฏ สิ่งที่อาตมาไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นมาก่อนก็เกิด ดังอาตมาจะเล่าให้ฟังถึงการปฏิบัติของอาตมา อาตมาจะกินอาหารชอบอธิษฐานก่อน “ขอกินเพื่ออยู่” เป็นประจำ วันหนึ่งอธิษฐานเสร็จก็ตักข้าวขึ้น มีเสียงดังชัดเจนว่า “กินเพื่อตาย” อาตมาต้องหยุดพิจารณาก่อนว่าประโยคไหนเป็นความจริงกว่ากัน ความจริงปรากฏขึ้น “กินเพื่ออยู่” นั้นเป็นของไม่แน่นอน เพราะบุคคลรู้ว่าจะตายด้วยเวทนาก็ดี ไม่อยากตาย ประโยค “กินเพื่ออยู่” นั้นไม่แน่นอน กินอย่างไรก็ต้องตายเมื่อถึงเวลา ส่วนประโยค “กินเพื่อตาย” เป็นของแน่นอน สัตว์ทั้งหลายเกิดมาเพื่อเดินทางไปสู่ความตายตามกุศลผลบุญหรือกรรม การกินอยู่ กินเพื่อให้กิเลสตายก่อน โดยไม่เลือกอาหารว่าดีหรือเลว ตามธรรมของพระพุทธเจ้า จะได้ปฏิบัติใช้กรรมและสร้างบารมีได้สมดังใจ อีกคราวหนึ่งอาตมาเห็นว่าบุคคลบางส่วนชอบกินอาหารมังสวิรัติ ซึ่งได้รับคำบอกเล่าว่า การกินอาหารมังสวิรัตินั้นไม่ได้กินชีวิตสัตว์ กินของที่ไม่มีชีวิต ทำให้จิตเบิกบานปฏิบัติได้ดีกว่า อาตมาพิจารณาผิวเผินก็เห็นจริงว่าจะทำให้ปฏิบัติได้เร็ว กิเลสในตนชักนำให้เห็นดีงาม เริ่มเข้าพรรษาอาตมาขอร้องโยมช่วยทำอาหารมังสวิรัติให้โยมตามใจ อาตมาถือเป็นกุศลในการปฏิบัติของอาตมา ถือว่ากินของไม่มีชีวิตการปฏิบัติย่อมดีขึ้นในพรรษาแรกไม่ได้อะไรเลย เหมือนกับไม่ได้ปฏิบัติใดๆ อาตมาไม่ย่อท้อนึกว่าเพิ่งเริ่มปฏิบัติจะได้ผลเร็วอย่างไร เริ่มพรรษาใหม่ อาตมาหวังเต็มที่ว่าต้องได้ผล เพราะไม่ได้กินสิ่งมีชีวิตทำให้กายและจิตบริสุทธิ์ โยมก็เต็มใจทำให้ ขอกุศลผลบุญที่ปฏิบัติของอาตมาจงสมหวังวันแรกแห่งพรรษา อาตมาปิติในจิตล่วงหน้าพรรษานี้แหละต้องสมหวังแน่ ถึงเวลากินอาหาร อาตมาก็อธิษฐานจิต “กินเพื่อตาย” แล้วตักอาหารขึ้นจะใส่ปากก็ได้ยินเสียงชัดเจนอีกว่า “ไม่ใช่ทางสู่นิพพานนะลูกนะ” อาตมาชะงักไม่นำข้าวใส่ปากวางช้อนลง แล้วพิจารณาว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นหมายถึงอะไร? อาตมาจึงพิจารณาอาหารมังสวิรัติ อาหารที่กินนั้นไม่ได้กินชีวิตจริงหรือไม่ มนุษย์ สัตว์มีชีวิต ต้นไม้ ผักหญ้าก็มีชีวิตต้องการไปสู่วาระสุดท้ายด้วยกันทั้งสิ้นมนุษย์ไปเก็บผักใบไม้มากินแล้วบอกว่าไม่ได้กินชีวิตใคร โอ้อนิจจัง โกหกทั้งเพ ต้นไม้ ผัก หญ้า ต่างก็มีชีวิต แต่ไม่มีจิตใจ มีเพียงธาตุ ๔ขันธ์ ๔ เท่านั้น ไม่มีวิญญาณรับรู้ แล้วพิจารณาต่อไปถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้เป็นผู้กินง่าย นอนง่ายไม่เลือกอาหาร เมื่อได้รับอาหารมาอย่างไรให้กินอย่างนั้น นอกจากอาหารนั้นเป็นของแสลงโรค และห้ามมังสะเพียง ๑๐ อย่างเท่านั้น มังสวิรัตินั้นเป็นอาหารของเทวทัตที่มาขอให้พระพุทธเจ้ากระทำตามเท่านั้น อาตมาอิ่มเอิบใจและกราบขอบใจเทพเทวดาผู้ที่มีเมตตาคอยสอนอาตมาเมื่อจะเดินทางผิด ให้เดินถูกทาง อาตมาเลยงดมังสวิรัติตั้งแต่นั้นมาปฏิบัติตามรอยบาทพระพุทธองค์ดีกว่า เร็วช้าก็ถึงเหมือนกัน ต่อมาอาตมาได้พบครูอาจารย์ ซึ่งเป็นพระปฏิบัติโดยไม่คาดฝัน อาตมาได้รับคำสั่งให้คุมรถไปขนของวัสดุก่อสร้างขึ้นดอยอินทนนท์ เชียงใหม่ ระยะนั้นหลวงปู่แหวน หลวงพ่อสิม เป็นพระปฏิบัติที่ประชาชนเคารพนับถือ อาตมาต้องการไปกราบไหว้สักครั้งเพื่อขอรับธรรมจากท่านมาปฏิบัติ อาตมาอธิษฐานจิตถึงท่านขอให้ได้ไปกราบท่าน โอกาสมาถึง วันว่างอาตมาชวนลูกน้อง ๒๐ คน ไปกราบท่าน ระยะทาง ๑๔๐ กม. ไม่รู้จักทาง ถึงเชียงใหม่ ๐๕.๐๐ น.กินอาหารเช้าแล้ว ซื้ออาหารไปถวายหลวงปู่ มีข้าวเหนียว น้ำพริกหนุ่ม หมูเสียบไม้ เพียง ๓ อย่างเท่านั้น ออกเดินทางถามทางชาวบ้าน จนถึงวัดท่านกำลังฉันอาหาร อาตมาให้ลูกน้องรีบลงไปก่อน จัดอาหารถวายท่าน ท่านรับประเคนแล้วฉันอาหารที่อาตมานำไปถวายเท่านั้น โดยไม่ฉันอาหารเดิม ฉันจนหมด อาตมาปิติในจิตว่าท่านเมตตาเราแล้ว ท่านฉันอิ่มแล้ว ท่านถามพวกเราว่ามาจากไหน อาตมาบอกเป็นทหารอากาศ ขนของขึ้นก่อสร้างดอยอินทนนท์ ท่านเมตตาแจกวัตถุมงคลของท่านคือเหรียญรูปเหมือนองค์ท่าน แต่ไม่สอนธรรมเลย แต่ปฏิบัติให้อาตมานำมาคิดพิจารณา เมื่อส่งท่านขึ้นพักแล้วกราบลาท่านเพื่อไปพบหลวงพ่อสิมวัดถ้ำผาปล่อง เชียงดาว อธิษฐานจิตขอพบท่าน ถามทางขึ้นถึงวัด อาตมาไม่รู้จักหลวงพ่อสิม ในขณะที่อาตมาเดินขึ้นเขาไปมีพระมีอายุองค์หนึ่ง ถือไม้เท้าเดินลงมา จิตอาตมาบอกหลวงพ่อลงมา พบกันครึ่งทางก้มลงกราบท่าน ท่านบอกให้ขึ้นไปถึงถ้ำจะมีวัตถุมงคลแจกให้ หลวงพ่อถูกนิมนต์ไปข้างล่าง อาตมาพาลูกน้องขึ้นไปถึงถ้ำ มีพระแจกวัตถุมงคลจริงๆ จัดไว้ให้เท่าจำนวนที่ไป เป็นสิ่งแปลกสำหรับอาตมา ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเราไปกันจำนวนเท่านี้ อาตมานำสิ่งทั้งหลายที่ได้รับมาพิจารณาในสิ่งที่รับมาจากอาจารย์ทั้งสองท่าน ปฏิบัติตามที่ได้เห็นการปฏิบัติของท่านด้วยมีสติ ไม่รีบร้อนกลับมารับราชการด้วยความปิติ ความเสียใจของแม่ที่ลูกจะมียศศักดิ์สูงไม่ได้ เมื่ออาตมาจะเข้าเรียนเลื่อนยศไม่ได้ เพราะความรู้ที่จะเข้าเรียนต่ำ แม่พอรู้เรื่องเข้าแอบนั่งร้องไห้เสียใจที่ไม่ให้ลูกเรียนให้สูง อาตมาต้องปลอบใจให้แม่ได้คิดบอกให้แม่นึกถึงบุญและกรรมที่สร้างไว้อย่าเสียใจเลย อาตมาบอกว่าได้ทำบุญมาแค่ไหนก็ได้แค่นั้น อะไรก็สู้การปฏิบัติตามพระพุทธองค์ไม่ได้ ไม่ต้องดีใจเสียใจต่อสิ่งทั้งปวง ขอให้แม่จงเป็นสุขเถิด แต่บุญบารมีมีจริง อาตมาได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนได้ และอาตมาได้สำเร็จการศึกษา ได้เลื่อนยศเป็นนาวาอากาศตรี แม่ถึงดีใจ แต่ดีใจไม่เท่าไร อาตมาต้องเศร้าใจแม่ได้ล้มป่วยต้องเข้ารักษาใน ร.พ. พระคุณต้องทดแทนนั้นเกิดขึ้นกับอาตมาแล้วความกตัญญูรู้คุณผู้ให้กำเนิด อาตมาได้เฝ้าพยาบาลอย่างใกล้ชิด ทุกอย่างตั้งแต่เกิดแม่เคยทำให้ อาตมาทำให้ทุกอย่างด้วยความปิติที่ได้ทดแทนคุณ พี่อาตมาทั้ง ๔ คนไม่สามารถอยู่พยาบาลแม่ได้เลยขณะที่เฝ้าพยาบาลอยู่นั้น อาตมาได้สวดมนต์ขอบารมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นธรรมโอสถรักษาจิตของแม่ให้ผ่องใส แม่รับได้ อาตมาอธิษฐานจิต ถ้าแม่ได้สร้างกรรมใดไว้อาตมาขอรับชดใช้แทนทั้งสิ้น ถ้าถึงเวลาหมดอายุก็ขอให้แสงสว่างแห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ นำทางไปสู่สุคติเถิด อาตมาพยาบาลแม่ ๔ เดือน ๑๗วัน แม่ก็ต้องจากไปเมื่ออายุ ๘๗ ปีกว่า อาตมาปิติที่ได้ตอบแทนพระคุณแม่ น้ำตาไหลนองหน้ามีความอิ่มเอิบเหลือเกิน กราบเท้าแม่ขออโหสิกรรม “กรรมใดที่ลูกได้สร้างแก่แม่ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ขออโหสิกรรมให้ลูกด้วย” อาตมาได้ทำสำเร็จแล้ว ๑ อย่าง ยังอยู่ อีก ๑ อย่าง คือ พ่อซึ่งยังมีทิฐิชอบดื่มเหล้า ในขณะที่อาตมารับราชการอยู่นั้น อาตมาปฏิบัติเพื่อใช้หนี้กรรมและสร้างบารมียิ่งขึ้น มารก็ตามผจญอาตมาไม่หยุด ขันติเท่านั้นจึงชนะได้ พี่ชายของอาตมาเป็นทหารเหมือนกัน เห็นการปฏิบัติของอาตมา กลัวว่าอาตมาจะเป็นบ้า จึงไปบอกพ่อให้มาเตือนอาตมา พ่อก็มา อาตมาพาพ่อมานอนที่บ้าน ๒ คนพ่อลูก พ่อพูดถึงการปฏิบัติของอาตมา ไม่ให้อาตมาหลงใหล อาตมาอธิษฐานจิตเพื่อทดแทนพระคุณผู้ให้กำเนิด “ความบริสุทธิ์แห่งการปฏิบัติของลูก ขอบารมี พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ จงเป็นแสงสว่างให้พ่อของลูกได้เห็นธรรมเถิด” อาตมาจัดแจงปูที่นอนให้ แล้วให้พ่อเข้านอน บอกพ่อว่า “พ่อไม่ต้องกลัวลูกจะเป็นอะไร ลูกมั่นคงต่อพระพุทธเจ้า พ่อคอยรับกุศลจากลูกเถิด” อาตมาก็เข้าสวดมนต์ส่งกระแสจิตให้พ่อ ตื่นเช้าก็พาพ่อไปส่งบ้านพี่ชายเพื่อกลับบ้าน น่าอัศจรรย์อีกเดือนต่อมาพ่อได้มาหาอาตมา อาตมาก็พามานอนบ้าน ๒ คนพ่อลูกเช่นเดิม อาตมาปิติน้ำตาคลอเบ้าสิ่งที่อาตมาประสงค์เกิดขึ้นแล้วคือ อาตมาจะเข้าห้องพระสวดมนต์ พ่อของอาตมานั่งพับเพียบเรียบร้อยพนมมือ พูดกับอาตมาว่า “ลูกเอ๋ยพ่อขอรับกุศลจากลูกนะ” ความปิติใดจะเท่าสิ่งที่ปรารถนาให้ผู้ให้กำเนิดเห็นแสงสว่างแห่งธรรมไม่มี ถ้าผู้ใดได้สัมผัสเช่นอาตมาแล้วจะรู้สึก น้ำตาคลอเบ้าด้วยความสุข ความสมหวัง อาตมาไม่เคยคิดว่าจะทำได้ เพราะความทุกข์ที่พ่อไม่เคยสนใจว่าลูกจะมีทุกข์มีสุขหรือไม่ อาตมาไม่เคยคิดในสิ่งเหล่านี้ คิดถึงแต่ว่าเป็นผู้ให้กำเนิดอาตมาเป็นมนุษย์เพื่อใช้หนี้กรรมให้หมดสิ้นและสร้างบารมีให้สูงขึ้นกว่าเดิม อะไรที่เกิดขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับกรรมที่อาตมาสร้างไว้ ไม่โทษท่านทั้งสอง อาตมาปิติในการช่วยให้พ่อเห็นธรรม ไม่เท่าไรพ่อก็ป่วยเข้ารักษาที่ ร.พ. อาตมาได้ตั้งจิตสวดมนต์ด้วย พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เป็นธรรมโอสถรักษาพ่อ พ่อหายป่วยกลับไปบ้านได้ แต่ไม่นานนักอาตมาก็ได้รับข่าวว่าพ่อได้จากไปแล้ว อาตมาได้ทำหน้าที่สุดท้ายด้วยความกตัญญู ส่งท่านขึ้นเสวยสุขในสวรรค์ มารชื่อนี้ย่อมสมคำเรียกว่า “มาร” คอยติดตามขัดขวางอยู่ตลอด อาตมารับราชการถูกขัดขวางด้วยมารไม่ให้ได้ยศขึ้นเหมือนผู้อื่น อาตมาไม่สนใจมุ่งสร้างบารมีอย่างเดียว เพราะคิดว่าหน้าที่ของตนที่เกิดเป็นมนุษย์จะสุดสิ้นลงแล้วใกล้จะเกษียณอายุราชการแล้ว โลกนี้ไม่ใช่ของเราแล้วจะมัวยึดถืออยู่ทำไม สู้สร้างทางเดินไปข้างหน้าไปสุดสิ้นแค่ไหนก็แล้วแต่บุญกุศลที่สร้าง กุศลที่ปฏิบัติด้วยความบริสุทธิ์ส่งผลอีก อาตมาได้เลื่อนยศเป็นนาวาอากาศโท อาตมาไม่ได้มีความยินดีในยศที่ได้ มองเห็นเป็นเครื่องบั่นทอนการปฏิบัติของตนให้ตกลง ถ้าไป หลงใหลในสิ่งสมมุติที่เขามอบให้ อาตมารักษาบารมีที่จะต้องทำให้สำเร็จ ๒ ประการนี้คือ ใช้หนี้กรรม ๑ สร้างบารมี ๑ เป็นของที่อาตมาต้องปฏิบัติไม่ขาด แม้จะอยู่ที่ใดก็ตาม ใกล้เกษียณอายุราชการในขณะที่ปฏิบัติสวดมนต์ แผ่กุศลบารมีให้ทุกเวไนยสัตว์แล้วนั่งพิจารณากาย ได้ยินเสียง บอกชัดเจนอีกว่า “หลังเกษียณราชการ ๓ ปี ถ้าไม่เปลี่ยนเพศต้องกลับ” อาตมาได้ยินดังนี้ อาตมาจึงตั้งจิตขอให้สัจจะว่า “ถ้าอาตมามีชีวิตอยู่ต้องใช้หนี้กรรมให้หมดสิ้น และสร้างบารมีจนวาระสุดท้าย อาตมาไม่มีอะไรจะผูกพันอีกแล้ว เล่าเรื่องที่อาตมาได้ยินให้โยมฟัง แล้วชวนให้โยมปฏิบัติธรรมให้สม่ำเสมอ เพราะเราใกล้เวลาจะกลับแล้ว โยมก็ปฏิบัติตาม ต่างคนต่างเดินไปสู่ที่หมายปลายทางคือ ละสังขารไว้ในโลกนี้ คืนให้ธรรมชาติไป พออาตมาเกษียณราชการ ได้ย้ายมาอยู่บ้านตนเองได้พากันออกทัวร์ตามวัดในภาคเหนือ อีสาน ใต้ ตะวันตก ไปกราบพระปฏิบัติ เพื่อรับธรรมะและสร้างกุศลจรรโลงศาสนาเท่าที่โอกาสจะอำนวย จิตใจก็เบิกบานเพราะสถานที่สัปปายะสงบร่มเย็นเต็มไปด้วยกลิ่นธรรม ทำให้จิตเบิกบาน ได้รู้ได้เห็นการปฏิบัติของพระป่าที่ปฏิบัติอย่างจริงจังน่าเลื่อมใสน่ากราบไหว้การเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่หวังในลาภสักการะ เมื่อฉันมื้อเดียวอิ่มแล้วก็เก็บล้างออกปฏิบัติธรรมกันต่อไป อาตมาได้ไปกราบหลวงปู่เทศก์ที่วัดหินหมากเป้ง แต่ไปช้า ๕ นาที ท่านเข้าพักผ่อนก่อนมีรูปปั้นของท่านอยู่ อาตมาต้องการกราบขอธรรมะจากท่าน จึงจุดธูปอธิษฐานว่า ขอท่านเมตตาให้ได้พบ อธิษฐานว่า “ลูกขอได้กราบหลวงปู่และจะขอธรรมะจากหลวงปู่” แล้วนั่งทำจิตส่งถึงท่าน มีเสียงบอกว่า “หลวงปู่ไม่มีตัวตนหรอก” อาตมาคิดว่าไม่มีตัวตนแล้วจะได้ธรรมะที่ไหน นั่งสงบประเดี๋ยวเดียวจิตก็บอกตัวเองว่า “ท่านให้ครบแล้ว ๒ ประการที่ขอ” อาตมาปลื้มใจที่ได้สิ่งที่หวัง แม้ว่าจะไม่ได้พบกายธาตุท่านก็ตาม นี่แหละธรรมของพระพุทธองค์ ถ้าพิจารณาผิวเผินแล้วจะไม่ได้อะไรเลย ถ้าพิจารณาแล้วจะมีค่ามหาศาล เมื่อกลับบ้านอาตมาบอกโยมขอบวช โยมยังไม่ยอมให้บวชแม้ว่าอาตมาเตรียมเครื่องบวชไว้ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ คำบอกของเทพเทวาว่าให้เวลา ๓ ปี ถ้าไม่เปลี่ยนเพศ เตือนจิตอาตมาอยู่ตลอดเวลา ปีที่ ๒ ขอบวชอีก โยมก็ยังไม่ยอม ปีที่ ๓ อาตมาก็ขอบวชอีก โยมก็ไม่ยอมอีก จนเหลือเวลาอีก ๓ เดือน อาตมาก็ขอเป็นครั้งสุดท้าย ก็ยังไม่ยอม อาตมาให้คิดให้ดีถ้าอาตมาได้บวชก็ยังมีชีวิตอยู่และยังได้เห็นกันอยู่ และจะได้กุศลร่วมกับอาตมาด้วย ถ้าอาตมาตายก็จะไม่ได้เห็นกันอีกต่อไป โยมบอกตายก็ตาย เผาก็เผา อาตมาตัดสินใจว่าเมื่อเป็นอย่างนี้ก็ตาย ขอสัจจะจากโยมว่า ถ้าอาตมาตาย ห้ามร้องไห้ สวดวันเดียวเผาเลย ต้องทำให้ได้ ตายแน่ อาตมาซื้ออาหารจัดไปถวายแม่ชีวัดพระศรีมหาธาตุบางเขนเป็นประจำโยมนำอาหารไปถวายหัวหน้าแม่ชีและได้เล่าเรื่องอาตมาให้ฟังหัวหน้า แม่ชีเลยสอนโยมเรื่องกุศลที่อาตมาบวชนั้นจะได้อานิสงค์สูง อีกอย่างหนึ่ง อาตมายังอยู่ได้เห็นกัน จะปฏิบัติธรรมตามด้วยได้ โยมตาสว่างเอ่ยปากให้อาตมาบวชได้ อาตมาได้บวชที่วัดพระศรีมหาธาตุนั่นเอง เมื่ออาตมาอายุได้ ๖๓ ปี เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๕ เรื่องกรรมของอาตมาที่ส่งผลอาตมามีมากมายจนไม่สามารถนำลงให้พิจารณากันได้ เดี๋ยวจะหาว่าหลวงพ่อแต่งนิยายมาให้อ่าน ฉะนั้นอาตมาขอยุติเรื่องของอาตมาเพียงนี้ และจะแนะนำการปฏิบัติต่างๆ เพื่อให้กระจ่างแจ้ง
หลวงพ่อโกหกจริงๆ